Thursday, October 28, 2021

ทะลุมิติไปยุคโบราณพร้อมกับร้านขายของชำคุณลู่

 ทะลุมิติไปยุคโบราณพร้อมกับร้านขายของชำคุณลู่ (นิยายวาย)

Transmigrating to the Ancient Times with Lu’s Convenience

带着小卖部到古代

 

ผู้เขียน :叶忆落

ความยาว 175 ตอนจีน


คำโปรย

ลู่หลินลาออกจากงานในเมืองใหญ่ กลับไปชนบท และสืบทอดร้านขายของชำเล็กๆ ที่พ่อแม่ของเขาทิ้งไว้ จากนั้นพายุฝนฟ้าคะนองส่งลู่หลิน ไปสู่ยุคโบราณที่ไม่คุ้นเคย

ลู่หลินเกิดใหม่เป็นชายหนุ่มที่มีชื่อและนามสกุลเดียวกันกับเขา และเขากำลังจะแต่งงานกับซวงเอ๋อร์ ผู้ดุร้ายซึ่งเคยขึ้นไปบนภูเขาเพื่อต่อสู้กับเสือ


การปรับตัวสู่การเป็นเกษตรกรธรรมดา เรื่องไม่ยาว

หมายเหตุ: ในเรื่องนี้ ซวงเอ๋อร์ 双儿มีลักษณะเป็นผู้ชายและมีปานที่มีรูปร่างเหมือนดอกไม้บนหน้าผาก พวกเขาไม่สูงเท่ากับผู้ชายและสามารถมีลูกได้ แต่การคลอดบุตรยากกว่าผู้หญิง



อาจมีสปอยล์

 VVVV

  VV

   V

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

เรื่องนี้ฝั่ง Eng แปลไป 48/175 แล้ว ส่วนไทยยังไม่เจอค่ะ

เป็นวายจีนโบราณ มีผู้ชายท้องได้ พระเอกคือ ลู่หลิน ทะลุมิติไปยุคโบราณพร้อมกับร้านขายของชำของเขา

ไปอยู่ในร่างที่เจ็บป่วยและคนที่บ้านไร้เมตตา ไม่แม้แต่จะพาไปหาหมอ กลับ'ขาย' เขาเพื่อแต่งงานกับซวงเอ๋อร์ผู้ขึ้นชื่อว่าดุร้ายในหมู่บ้าน

.

ลู่หลินร่างเดิม พ่อแม่ตายหมดแล้ว และกำลังล้มป่วย ลู่หลินคนใหม่ผู้ทะลุมิติมาถึงก็นอนป่วยและได้รับสืบทอดความทรงจำอันขมขื่นนี้มาด้วย

ในยุคนั้น ถ้าอายุ 18 ปีแล้วยังไม่แต่งงานจะต้องจ่ายภาษีปีละ 3 ตำลึง ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากสำหรับเกษตรกรที่ยากจน ครอบครัวลู่ไหนเลยจะยอมจ่ายเงินจำนวนนี้ให้ จึงคิดจะหางานเต่งงานให้เจ้าของร่างเดิม แต่ด้วยสถานะที่ไม่เคยได้รับความเอ็นดูในครอบครัวลู่ ทำให้ไม่มีผู้หญิงบ้านไหนอยากแต่งเข้ามาในตระกูลลู่

.

.

ในช่วงเวลานี้เอง เฉินเสี่ยวมี่ ซวงเอ๋อร์ผู้มีพลังแข็งแรงเหนือธรรมดาก็กำลังมองหาคู่แต่งงานด้วยเช่นกัน ด้วยสถานะของเฉินเสี่ยวมี่ในตระกูลเฉินนั้นคล้ายกับลู่หลินในตระกูลลู่ กำพร้าบิดามารดาและยังมีน้องชายอีกสองคนให้เลี้ยงดู

ทว่าคนตระกูลเฉินยิ่งโหดร้ายกว่า คิดจะขายน้องชายคนที่สามของเฉินเสี่ยวมี่ที่เป็นซวงเอ๋อร์ ทำให้เฉินเสี่ยวมี่โกรธมาก สุดท้ายขอแยกบ้านออกมาและขึ้นไปอยู่ในถ้ำบนภูเขากับน้องชายทั้งสอง

.

วันหนึ่งเฉินเสี่ยวมี่ล่าเสือและขายได้เงินมากถึง 30 ตำลึง ข่าวลือล้วนแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสตระกูลเฉินจะไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าสร้างปัญหากับเฉินเสี่ยวมี่

.

.

แม้ว่าเฉินเสี่ยวมี่จะประกาศออกมาว่าจะแต่งงาน ทว่าใครจะกล้าแต่งกับคนที่ดุร้ายเช่นนี้ ดังนั้นเฉินเสี่ยวมี่จึงเสนอเงินสินสอด 10 ตำลึง

เจ้าของร่างเดิมเป็นชายหัวโบราณเมื่อรู้ว่าถูก 'ขาย' ให้ซวงเอ๋อร์คนหนึ่งจึงกระโดดลงทะเลสาบ

ครอบครัวลู่รับเงินแต่งงานจากเฉินเสี่ยวมี่แล้ว แน่นอนว่าไม่ยินดีให้ลู่หลินตาย จึงใช้เงินไป 2-3 ตำลึงเพื่อรักษาลู่หลิน แต่ลู่หลินก็ยังตายและถูกลู่หลินผู้มาจากอีกโลกหนึ่งครอบครองร่างกาย

.

.

ลู่หลินถูกหามไปส่งด้วยกระดานไม้แผ่นเดียว  แม้ชาวบ้านจะทอดถอนใจกับชะตากรรมนี้แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะช่วยอะไร ทว่าเฉินเสี่ยวมี่ก็ยังรับคนไว้

ระหว่างนั้นเฉินเสี่ยวมี่ยังคงขึ้นภูเขาไปล่าสัตว์ เพราะเงินหมดไปมากแล้วยังต้องเตรียมตัวสำหรับฤดูหนาว

ลู่หลินฟื้นขึ้นมาด้วยความหดหู่ หลังจากกินข้าวต้มมื้อแรกในบ้านแล้วลู่หลินรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย จึงหยิบอาหารบำรุงกำลังมาจากร้านขายของชำอีกครั้ง ทว่าถูกเฉินเสี่ยวม่าย เด็กน้อยวัยห้าขวบพบเข้า

ลู่หลินจึงแบ่งให้กิน และลู่หลินบอกเขาว่า ห้ามบอกใครนะ ไม่งั้นครั้งหน้าจะไม่ให้กิน

 

ลู่หลินกังวล แต่กฏของโลกใบนี้คือ แต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข ดังนั้นเรื่องนี้คงต้องเปิดเผยในไม่ช้า เขาหยิบยาและนมจากร้านขายของชำมากิน แล้วพักฟื้นร่างกายต่อไป

.

.

ชาติก่อนลู่หลินเป็นเกย์ แต่ว่าก็ปกปิดสถานะด้วยกลัวว่าจะอยู่ยาก ต่อมาถูกผู้หญิงไล่ตามจีบ สุดท้ายเขาบอกผู้หญิงไปด้วยความซื่อสัตย์กลับถูกเปิดโปง ทำให้ตกงาน เขาจึงต้องกลับบ้านในชนบทเพื่อดูแลร้านค้า

.

หลังจากได้พบเฉินเสี่ยวมี่ที่ดูแข็งแรง ทรงพลังและดูน่ารักเล็กน้อย ตาโต สีเข้ม ลู่หลินก็ตกหลุมรักในทันที ดังนั้นจึงยินดีที่จะอยู่ไปด้วยกัน

.

.

ลู่หลินอยู่บ้าน หยิบไข่จากร้านขายของชำมาทำกินทุกวัน จนซื้อใจสามพี่น้องตระกูลเฉินได้ในที่สุด

หลังจากขึ้นเขาไปหาของป่า หาของไปขาย และหยิบลูกแก้วออกมาจากร้านให้เฉินเสี่ยวมี่เอาไปขาย ได้มาหกแท่งเงิน ส่วนหมูป่าที่หายากขายได้เจ็ดแท่งเงิน ทำให้เฉินเสี่ยวมี่ดีใจมาก

.

.

เมื่อมีเงินมากกว่าที่คาดไว้ เฉินเสี่ยวมี่จึงอยากจะซ่อมแซมบ้าน จึงซื้อกระเบื้องและอิฐ ลู่หลินจึงเสนอให้สร้างเตียงเตา เพื่อน้องคนเล็กจะได้ไม่ป่วยง่ายอีก

.

จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นภูเขาไปหาอาหารกันอีกครั้ง คราวนี้เฉินเสี่ยวมี่พบมีดสั้นที่ลู่หลินหยิบออกมาขุดซานเย่า จึงฉวยไปจากมือและครั้งนี้ลู่หลินเปิดเผยการมีอยู่ของร้านขายของชำ เล่าให้ฟังว่าในร้านมีอะไร

และบอกว่าไม่ใช่ลู่หลินคนเดิม ดังนั้นทั้งสองจึงมีความลับนี้ร่วมกัน และเริ่มขายของในร้านออกไป เมื่อมีเงินแล้วเฉินเสี่ยวมี่กับลู่หลินจึงหันกลับมาตุนอาหารและทำเตียงเตา

.

.

เมื่อทำเตียงเตาแล้ว เฉินเสี่ยวมี่ก็ไปทำเตียงเตาให้กับเหล่าโจว พรานเฒ่าที่เคยช่วยตนเอง เหล่าโจวเคยขาหัก ทุกครั้งที่ฝนตกจะปวดบริเวณนั้นอย่างแสนสาหัส เมื่อตอนที่เฉินเสี่ยวมี่บอกจะมาทำเตียงเตาให้เขาไม่ได้สนใจมากนัก แต่พอได้ใช้เหล่าโจวก็ชอบอยู่บนเตียงเตามาก แทบจะไม่ยอมลงมาเลย เฉินเสี่ยวมี่ตัดฟืนให้เหล่าโจวด้วย ไม่นานเรื่องราวนี่ก็แพร่กระจาย

ทุกคนต่างแวะมาเยี่ยมเหล่าโจว แน่นอนว่ามาแล้วต้องขอลองนั่งและมีของติดไม้ติดมือมาฝาก ไข่สองฟอง ข้าวหนึ่งกำมือ หรือฟืนหนึ่งกอง

.

หลังจากมีเตียงเตา มีลู่หลิน อาการป่วยของเฉินเสี่ยวม่ายก็ไม่มีอีกเลย

ทั้งสองขายของ ซื้อเกวียน สร้างบ้าน  ..

หลังจากสร้างบ้าน ลู่หลินกับเฉินเสี่ยวมี่ก็ร่วมเตียง ความสัมพันธ์แนบแน่นนนนน

..


ต่อมาช่างที่สร้างบ้านและเตียงเตาให้คนทั้งคู่ นำความรู้การสร้างเตียงเตาออกไปทำเงินได้มากมาย จึงกลับมามอบของตอบแทน

แม้จะเป็นของไม่มีราคามากนักอย่าง มันเทศ ผักกาดขาว หัวไช้เท้า ก็ทำให้ทั้งคู่อบอุ่นใจมาก

ภายหลังยังตามนายช่างไปที่หมู่บ้านเพื่อขอซื้อมันเทศจำนวนมากกลับมาหมักสุรา


เมื่ออากาศเริ่มเย็นลง ลู่หลินให้ป้าเสิ่นที่เคยตัดเสื้อผ้า ช่วยเย็บถุงมือจากหนังสัตว์ชิ้นเล็ก ที่ขายไม่ได้ราคาเป็นจำนวนมากแล้วนำไปขาย ได้เงินมาเป็นจำนวนมาก จึงกลับมาทำเตียงเตาให้ป้าเสิ่นที่เย็บถุงมือให้อย่างดี


เฉินเสี่ยวมี่ผู้เคยยากจน นั่งนับเงินทุกวัน นั่งนับหลายครั้งอย่างมีความสุข ป้าเสิ่นก็เช่นกัน

หลังจากพวกเขาขายถุงมือได้เงินก้อนใหญ่ ชาวบ้านในหมู่บ้านก็พากันเลียนแบบ แต่กลับขายได้ราคาไม่ดีเหมือนกับเฉินเสี่ยวมี่และหลินลู่

ครอบครัวตระกูลลู่ และตระกูลเฉินมักมาสร้างความรำคาญ ขอมีส่วนร่วมกับเงินของทั้งคู่อยู่เนืองๆ

แต่ด้วยความดุร้ายของเฉินเสี่ยวมี่ ก็สามารถขับไล่ผู้คนกลับไปได้ทุกครั้ง

.

.

เมื่อฤดูหนาวมาเยือนเฉินเสี่ยวมี่ไม่ได้ขึ้นภูเขาไปล่าสัตว์แล้ว อาหารก็มีเพียงพอ ทั้งสองจึงทำเพียงกอดกัน และขายเหล้าหมักมันเทศที่มี

เฉินเสี่ยวมี่นับเงินด้วยความงุนงง และตามลู่หลินไปซื้อผ้ากลับมาเป็นจำนวนมาก

เฉินเสี่ยวมี่รู้สึกว่าตนเองเสพติดการซื้อของ และฟุ่มเฟือยมาจากลู่หลินเสียแล้ว

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ลู่หลินมาอยู่กับเขา เขามาขายของได้มากกว่าสิบตำลึงทุกครั้ง นับว่าไม่ฟุ่มเฟือย

.

.

.

.

จากนั้นลู่หลินทำแยมและขายได้เงินจำนวนมาก ลู่หลินยังคงให้เฉินเสี่ยวมี่เก็บเงิน ทว่าเงินมีมากกว่าหนึ่งร้อยตำลึงแล้ว เฉินเสี่ยวมี่กังวลใจจึงให้ลู่หลินนำไปเก็บในร้านขายของชำ

.

เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง เหล้าหมักมันเทศก็ขายหมดแล้ว ทั้งคู่มีเงินมากกว่าสามร้อยตำลึง

เมื่อขึ้นไปบนภูเขาลึก พวกเขาพบเด็กสองคน เฉินเสี่ยวมี่คาดเดาว่าน่าจะมีคนบนภูเขาเกิดเรื่องจึงตามกลับไปดู พบครอบครัวตระกูลฉิน

ฉินอี้คนพ่อ บาดเจ็บและหมดสติ มีไข้ เด็กสองคนจึงพยายามลงเขาเพื่อจะไปหาหมอแต่กลับหลงทาง

 

ลู่หลินไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้หรือไม้ แต่ก็ช่วยล้างแผลด้วยสุราดีกรีสูง และละลายยาฆ่าเชื้อลงในน้ำให้กิน พร้อมทั้งเตรียมอาหารส่วนหนึ่งให้เด็ก ๆ

.

.

.

จากนั้นทั้งคู่ซื้ออร้านค้าร้านหนึ่งในเมือง เป็นร้านที่อยู่ใกล้โรงเรียน

ฉินอี้หายดี ล่ากวางจากภูเขามอเป็นของตอบแทนให้ทั้งคู่ ทำให้ลู่หลินรู้สึกว่าแม้โลกใบนี้จะมีคนน่ารังเกียจอยู่มาก แต่ที่จริงก็มีคนมีน้ำใจด้วยเช่นกัน

.

.

ลู่หลินกับเฉินเสี่ยวมี่ไปซื้อคน และเริ่มเย็บกระเป๋า พร้อมกับป้าเสิ่น เมื่อเปิดขายกระเป๋านักเรียน กิจการการค้าเป็นไปด้วยดี ทำเงินได้มาก ทั้งหมดจึงย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองและปิดบังการเป็นเจ้าของร้าน เพียงปล่อยข่าวว่าเป็นลูกจ้างออกไป

.

ภายหลังพาครอบครัวตระกูลฉินลงจากภูเขาและเข้าเป็นผู้คุ้มกัน จากนั้นขยายกิจการ ไปเปิดสาขาในอีกเมือง ขายพัด ขายตุ๊กตา กิจการรุ่งเรืองมาก

..


วันหนึ่ง ลู่หลินถูกจับด้วยข้อหาที่แปลกประหลาด ภายหลังจึงรู้ว่าขุนนางเมืองกำลังจะหมดวาระจึงอยากจะเก็บส่วยจากบรรดาร้านค้าที่ร่ำรวย ทำให้ลู่หลินกับเฉินเสี่ยวมี่ตัดสินใจเลิกเป็นพ่อค้า ไปเป็นขุนนางดีกว่าจะได้ไม่ถูกรังแก

ลู่หลินตัดสินใจซื้อตำแหน่งขุนนางเมืองชายแดนแห่งหนึ่งด้วยเงินกว่าพันตำลึงทันที หลังจากปรึกษาแล้วทุกคนล้วนตัดสินใจติดตามลู่หลิน ขายทรัพย์สินทั้งหมดแล้วย้ายไปทันที


ลู่หลินพบว่าเมืองชายแดน แร้นแค้นกันดารมาก บ้านพักขุนนางยังทรุดโทรมอย่างที่สุด ก็เริ่มซ่อมแซม และทำของอร่อย ริเริ่มทำเต้าหู้ เปิดร้านเต้าหู้เล็กๆ เพื่อให้ผู้คนได้ลิ้มชิมรส ภายหลังผูกสัมพันธ์กับกองทัพชายแดนด้วยเมนูเต้าหู้ แสนอร่อย ราคาย่อมเยาว์

ลู่หลินโปรยเงินจ้างงาน ทำเครื่องมือทำไร่ และให้ท่านแม่ทัพแนะนำเข้าไปที่เมืองหลวง เขาไม่ได้ทำขายเหตุเพราะใช้ช่างเหล็กและช่างไม้ ราคาน่าจะสูงมาก จึงตัดสินใจให้เช่า

ซื้อที่รกร้าง ปลูกต้นหม่อน และให้ชาวบ้านที่เช่าเครื่องมือจ่ายค่าเช่าเป็นแรงงานโดยหมุนเวียนกันมาทำที่พื้นที่ของเขาแทน

จากนั้นก็ทำถนน ทำโรงหมักสุรา ไม่นานก็เปิดร้านอาหาร กิจการรุ่งเรือง ภรรยาคลอดบุตร อยู่ที่นี่หลายปี


จนกระทั่งมีท่านอ๋องท่านหนึ่งมาเยือน และชมชอบอาหารของลู่หลินและร้านค้ามาก กลับไปเมืองหลวงจึงกระจายข่าวออกไป


ลู่หลินแนะนำให้เฉินเสี่ยวข่าย น้องชายภรรยา ทำบ่อน้ำพุร้อน ไม่นานคนจากเมืองหลวงหลั่งไหลกันเข้ามาเมืองชายแดน ลู่หลินได้รับการเลื่อนขั้น คราวนี้ตัดสินใจย้ายเมืองแล้ว ทุกคนยังคงตัดสินใจติดตามลู่หลิน ขายกิจการ ร้านค้าทั้งหมด ย้ายตามไปเขตปกครองใหม่ริมทะเล


ที่นี่ชาวประมงอยู่อย่างยากลำบาก แต่ว่าลู่หลินตาลุกวาวมาก ของทะเลราคาถูกยิ่งกว่าผักกาดขาว กว้านซื้อในคราวเดียว

ให้ลูกน้องเปิดร้านขายปลาหมึกย่าง ตั้งกองเรือ ...ทำสารพันเมนูเลิศรสอีกครั้ง

ต่อมาชาวประมงอยู่ดีกินดีกันมากขึ้น อาหารทะเลทั้งสดทั้งแห้ง ต่างได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารทะเลที่ดีที่สุด

 

เรื่องราวกว่าสิบปีบนโลกใบนี้ของลู่หลิน จบลงเมื่อสไปรท์ขวดสุดท้ายจากร้านขายของชำหมดลง อดทอดถอนใจไม่ได้ เมื่อมองไปที่เฉินเสี่ยวมี่ที่หน้าแดงจึงพูดว่า "ฉันมักจะนึกถึงวันที่เราแต่งงาน ที่ดูเหมือนไม่นานมานี้"

เฉินเสี่ยวมี่ก็ตอบกลับอย่างมึนงง "มันดีมาก! ที่คนที่แต่งงานในตอนนั้นเป็นคุณ"

เฉินเสี่ยวมี่รู้สึกเหมือนพระเจ้าเมตตาเขา

ลู่หลินยิ้มจับมือเฉินเสี่ยวมี่ ยิ้มแล้วพูดว่า "บางทีฉันมาที่โลกนี้ก็เพราะคุณ"

No comments:

Post a Comment

รวมลิงก์เมนู จากนิยาย 🍬#SweetCandyFairy #ให้รักนี้มีแต่ความหวาน

 รวมลิงก์เมนู จากนิยาย 🍬#SweetCandyFairy #ให้รักนี้มีแต่ความหวาน ทดลองอ่าน📖 https://bit.ly/3xgsSJV ซื้อนิยายได้ที่ Jamsai store  เล่ม 1 : ...